วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ประวัติอียิปต์ว่าด้วยเรื่องของพระนางnefrtiti

พระนางNefertiti เป็นราชินีแห่งอียิปต์ ---- Wife of Akhenaten ทั้งสองพระองค์อยู่ใน ราชวงศ์ ที่ 18 ค่ะ ช่วงNew Kingdom ฟาโรห์Akhenaten เดิมตอนที่ขึ้นครองราชย์ ใช้ชื่อว่า Amenhotep IV ค่ะ แต่ตอนหลังเปลี่ยนมาเป็นชื่อ Akhenaten ตามชื่อของเทพเจ้าที่ตนเองนับถือชื่อ สุริยเทพAtenค่ะ สมัยพระองค์ได้ทำการเปลี่ยนการนับถือลัทธิศาสนา หรือเทพเจ้า มาเป็นองค์ที่ว่านี้เพียงองค์เดียวแหละค่ะ ในรัชสมัยของทั้ง 2 พระองค์นี้ นับถือเพียง สุริยเทพAtenเพียงองค์เดียวเลยค่ะ แต่รัชสมัยหลังจากนั้นก็กลับมานับถือ เทพเจ้า Amun Re หรือ Amun Ra ตามแต่จะเรียกค่ะ เกริ่นพอแล้วค่ะ ทีนี้มาพูดถึงพระนางNefertiti มั่งดีกว่าค่ะตามหนังสือที่ต้องอ่านมานั้น พระนางNefertiti นี้ กำเนิดของท่านคลุมเครือมากๆเลยค่ะ แต่ว่ากันว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกันกับ อัย ที่ตอนหลังขึ้นเป็น ฟาโรห์อัย หลังจาก ฟาโรห์ตุตันคาเมน สิ้นพระชนม์ พระนางNefertiti ถือว่าเป็นผู้ที่งดงามมาก ความงามของพระนางเป็นที่ร่ำลือสุดๆ จะเรียกได้ว่าอมตะเลยก็ว่าได้ พระนางปรากฎตัวครั้งแรกหลังจากที่ ฟาโรห์Akhenaten ขึ้นครองราชย์ได้เพียงสั้นๆเท่านั้น พอหลังจากนั้นมาพระนางก็เริ่มมีทั้งชื่อเสียง และบทบาทมากพระนางNefertiti มักจะปรากฎตัว พร้อมกับพระสวามีบ่อยๆ พระนางมีอีกชื่อหนึ่งค่ะ ว่า "Nefernefruaten" --- ''most perfect of the perfections of the aten" (โห ตั้งชื่อสุดยอดค่ะ นี่ถ้าไม่สวยจริงคงจะไม่กล้าตั้งหรอกมั้งคะ อิอิ) มีช่วงหนึ่งที่พระนางNefertiti หายไปจากประวัติศาสตร์ด้วยค่ะ ผู้คนเค้าก็สงสัยกันว่าหายไปไหนนะ แต่มีเป็นรูปแกะสลักด้วยภาพซึ่งเป็นภาพสุดท้ายเลยค่ะ จะปรากฎอยู่ใน Royal Tomb at Amarna เป็นรูปที่บรรยายว่าพระนางกับพระสวามีกำลังโศกเศร้า อาลัยอาวรณ์ กับการจากไปตั้งแต่วัยเด็กของลูกสาวคนที่สอง "Meketaten" ส่วนลูกสาวคนโตของพระนางก็คือ Merytaten ค่ะ ที่ตอนหลังเป็น ภรรยาของ ฟาโรห์ Smenkhkare เจ้าหญิงMerytaten นี่ได้ชื่อว่าเป็น "King's Great Wife,Merytaten"มาพูดถึงการหายตัวไปของพระนางNefertiti มีกล่าวว่ามาปรากฏตัวอีกทีเป็นผู้สำเร็จราชการให้กับ Akhenaten บ้างกล่าวว่าเพราะถูกทรมาน หรือทำความอัปยศ แต่อีกทีกลายเป็นว่า คนที่เป็นเหยื่อถูกทรมานจริงๆ ก็คือ Kiya ภรรยาคนที่ 2 ของ ฟาโรห์ Akhenaten ที่สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นมารดาของฟาโรห์Tutankamun ค่ะว่าแต่ ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า พระนางNefertiti หายตัวไปไหนนะ เอาแค่นี้ก่อนดีกว่านะคะ เด๋วค่อยมาต่อกัน แถมรูปปั้นหน้าของพระนางมาให้ดูด้วยค่ะ :DพระนางNefertiti เป็นราชินีแห่งอียิปต์ ---- Wife of Akhenaten ทั้งสองพระองค์อยู่ใน ราชวงศ์ ที่ 18 ค่ะ ช่วงNew Kingdom ฟาโรห์Akhenaten เดิมตอนที่ขึ้นครองราชย์ ใช้ชื่อว่า Amenhotep IV ค่ะ แต่ตอนหลังเปลี่ยนมาเป็นชื่อ Akhenaten ตามชื่อของเทพเจ้าที่ตนเองนับถือชื่อ สุริยเทพAtenค่ะ สมัยพระองค์ได้ทำการเปลี่ยนการนับถือลัทธิศาสนา หรือเทพเจ้า มาเป็นองค์ที่ว่านี้เพียงองค์เดียวแหละค่ะ ในรัชสมัยของทั้ง 2 พระองค์นี้ นับถือเพียง สุริยเทพAtenเพียงองค์เดียวเลยค่ะ แต่รัชสมัยหลังจากนั้นก็กลับมานับถือ เทพเจ้า Amun Re หรือ Amun Ra ตามแต่จะเรียกค่ะ เกริ่นพอแล้วค่ะ ทีนี้มาพูดถึงพระนางNefertiti มั่งดีกว่าค่ะตามหนังสือที่ต้องอ่านมานั้น พระนางNefertiti นี้ กำเนิดของท่านคลุมเครือมากๆเลยค่ะ แต่ว่ากันว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกันกับ อัย ที่ตอนหลังขึ้นเป็น ฟาโรห์อัย หลังจาก ฟาโรห์ตุตันคาเมน สิ้นพระชนม์ พระนางNefertiti ถือว่าเป็นผู้ที่งดงามมาก ความงามของพระนางเป็นที่ร่ำลือสุดๆ จะเรียกได้ว่าอมตะเลยก็ว่าได้ พระนางปรากฎตัวครั้งแรกหลังจากที่ ฟาโรห์Akhenaten ขึ้นครองราชย์ได้เพียงสั้นๆเท่านั้น พอหลังจากนั้นมาพระนางก็เริ่มมีทั้งชื่อเสียง และบทบาทมากพระนางNefertiti มักจะปรากฎตัว พร้อมกับพระสวามีบ่อยๆ พระนางมีอีกชื่อหนึ่งค่ะ ว่า "Nefernefruaten" --- ''most perfect of the perfections of the aten" (โห ตั้งชื่อสุดยอดค่ะ นี่ถ้าไม่สวยจริงคงจะไม่กล้าตั้งหรอกมั้งคะ อิอิ) มีช่วงหนึ่งที่พระนางNefertiti หายไปจากประวัติศาสตร์ด้วยค่ะ ผู้คนเค้าก็สงสัยกันว่าหายไปไหนนะ แต่มีเป็นรูปแกะสลักด้วยภาพซึ่งเป็นภาพสุดท้ายเลยค่ะ จะปรากฎอยู่ใน Royal Tomb at Amarna เป็นรูปที่บรรยายว่าพระนางกับพระสวามีกำลังโศกเศร้า อาลัยอาวรณ์ กับการจากไปตั้งแต่วัยเด็กของลูกสาวคนที่สอง "Meketaten" ส่วนลูกสาวคนโตของพระนางก็คือ Merytaten ค่ะ ที่ตอนหลังเป็น ภรรยาของ ฟาโรห์ Smenkhkare เจ้าหญิงMerytaten นี่ได้ชื่อว่าเป็น "King's Great Wife,Merytaten"มาพูดถึงการหายตัวไปของพระนางNefertiti มีกล่าวว่ามาปรากฏตัวอีกทีเป็นผู้สำเร็จราชการให้กับ Akhenaten บ้างกล่าวว่าเพราะถูกทรมาน หรือทำความอัปยศ แต่อีกทีกลายเป็นว่า คนที่เป็นเหยื่อถูกทรมานจริงๆ ก็คือ Kiya ภรรยาคนที่ 2 ของ ฟาโรห์ Akhenaten ที่สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นมารดาของฟาโรห์Tutankamun ค่ะว่าแต่ ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า พระนางNefertiti หายตัวไปไหนนะ เอาแค่นี้ก่อนดีกว่านะคะ เด๋วค่อยมาต่อกัน แถมรูปปั้นหน้าของพระนางมาให้ดูด้วยค่ะ :DพระนางNefertiti เป็นราชินีแห่งอียิปต์ ---- Wife of Akhenaten ทั้งสองพระองค์อยู่ใน ราชวงศ์ ที่ 18 ค่ะ ช่วงNew Kingdom ฟาโรห์Akhenaten เดิมตอนที่ขึ้นครองราชย์ ใช้ชื่อว่า Amenhotep IV ค่ะ แต่ตอนหลังเปลี่ยนมาเป็นชื่อ Akhenaten ตามชื่อของเทพเจ้าที่ตนเองนับถือชื่อ สุริยเทพAtenค่ะ สมัยพระองค์ได้ทำการเปลี่ยนการนับถือลัทธิศาสนา หรือเทพเจ้า มาเป็นองค์ที่ว่านี้เพียงองค์เดียวแหละค่ะ ในรัชสมัยของทั้ง 2 พระองค์นี้ นับถือเพียง สุริยเทพAtenเพียงองค์เดียวเลยค่ะ แต่รัชสมัยหลังจากนั้นก็กลับมานับถือ เทพเจ้า Amun Re หรือ Amun Ra ตามแต่จะเรียกค่ะ เกริ่นพอแล้วค่ะ ทีนี้มาพูดถึงพระนางNefertiti มั่งดีกว่าค่ะตามหนังสือที่ต้องอ่านมานั้น พระนางNefertiti นี้ กำเนิดของท่านคลุมเครือมากๆเลยค่ะ แต่ว่ากันว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกันกับ อัย ที่ตอนหลังขึ้นเป็น ฟาโรห์อัย หลังจาก ฟาโรห์ตุตันคาเมน สิ้นพระชนม์ พระนางNefertiti ถือว่าเป็นผู้ที่งดงามมาก ความงามของพระนางเป็นที่ร่ำลือสุดๆ จะเรียกได้ว่าอมตะเลยก็ว่าได้ พระนางปรากฎตัวครั้งแรกหลังจากที่ ฟาโรห์Akhenaten ขึ้นครองราชย์ได้เพียงสั้นๆเท่านั้น พอหลังจากนั้นมาพระนางก็เริ่มมีทั้งชื่อเสียง และบทบาทมากพระนางNefertiti มักจะปรากฎตัว พร้อมกับพระสวามีบ่อยๆ พระนางมีอีกชื่อหนึ่งค่ะ ว่า "Nefernefruaten" --- ''most perfect of the perfections of the aten" (โห ตั้งชื่อสุดยอดค่ะ นี่ถ้าไม่สวยจริงคงจะไม่กล้าตั้งหรอกมั้งคะ อิอิ) มีช่วงหนึ่งที่พระนางNefertiti หายไปจากประวัติศาสตร์ด้วยค่ะ ผู้คนเค้าก็สงสัยกันว่าหายไปไหนนะ แต่มีเป็นรูปแกะสลักด้วยภาพซึ่งเป็นภาพสุดท้ายเลยค่ะ จะปรากฎอยู่ใน Royal Tomb at Amarna เป็นรูปที่บรรยายว่าพระนางกับพระสวามีกำลังโศกเศร้า อาลัยอาวรณ์ กับการจากไปตั้งแต่วัยเด็กของลูกสาวคนที่สอง "Meketaten" ส่วนลูกสาวคนโตของพระนางก็คือ Merytaten ค่ะ ที่ตอนหลังเป็น ภรรยาของ ฟาโรห์ Smenkhkare เจ้าหญิงMerytaten นี่ได้ชื่อว่าเป็น "King's Great Wife,Merytaten"มาพูดถึงการหายตัวไปของพระนางNefertiti มีกล่าวว่ามาปรากฏตัวอีกทีเป็นผู้สำเร็จราชการให้กับ Akhenaten บ้างกล่าวว่าเพราะถูกทรมาน หรือทำความอัปยศ แต่อีกทีกลายเป็นว่า คนที่เป็นเหยื่อถูกทรมานจริงๆ ก็คือ Kiya ภรรยาคนที่ 2 ของ ฟาโรห์ Akhenaten ที่สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นมารดาของฟาโรห์Tutankamun ค่ะว่าแต่ ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า พระนางNefertiti หายตัวไปไหนนะ เอาแค่นี้ก่อนดีกว่านะคะ เด๋วค่อยมาต่อกัน

ประวัติอียิปต์

ประวัติ อียิปต์โบราณอียิปต์ ตามความหมายที่เฮโรดอท นักเดินทางชาวกรีกให้ไว้ หมายถึง ของขวัญจากแม่น้ำไนล์ อียิปต์ ตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ (เรียกว่าดินดำ) อยู่ระหว่างที่ราบสูงที่เป็นทะเลทราย ทางเหนือของทวีปอัฟริกา แม่น้ำไนล์ยาวประมาณ1,000 กม. ต้นแม่น้ำมาจากทะเลสาบในประเทศเอธิโอเปียทางตะวันออก และทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์เป็นทะเลทราย (เรียกกันว่าดินแดง) ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดินมาจากแม่น้ำไนล์ไหลผ่านภูเขาที่เต็ม ไปด้วยแร่ธาตุจากเอธิโอเปียจนถึงอียิปต์และมาท่วมล้นฝั่ง ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม น้ำนำโคลนตมที่อุดมสมบูรณ์มาให้ประมาณ 3,000 ปี ก่อนคริสตศักราช อียิปต์แบ่งเป็นสองราชอาณาจักร คือ อียิปต์สูง (อียิปต์บน) และอียิปต์ต่ำ (อียิปต์ล่าง) ทั้งสองอาณาจักรรวมกันสมัยพระเจ้านาแมร์ (กรีกเรียกเมแนส) และสมัยพระเจ้าอหา มีเมืองหลวงชื่อเมมฟิส (กำแพงขาว)สมัยจักรวรรดิเก่า (2850 - 2052 ปี ก่อนคริสตศักราช) 2850-2650 สมัยธินิท (ราชวงศ์ที่1 และ 2) อียิปต์เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ มีการสู้รบกับพวกเบดวงจากคาบสมุทรซีนาย เพื่อแย่งชิงเหมืองทองแดงมีการติดต่อทางเรือกับเมืองไบโบลส (ในเลบานอนปัจจุบัน) เพื่อซื้อไม้เซดาร์มาใช้ในการก่อสร้างและทำโลงศพของฟาห์โร (กษัตริย์) มีการก่อสร้างหลุมศพสำหรับเจ้าเรียกว่า มาสตาบา 2650 - 2190 สมัยปิรามิด (ราชวงศ์ที่ 3 - 6) เมมฟิส เป็นศูนย์กลางทางการเมือง พระเจ้าโจเซอร์ทรงมีพระราชโองการให้อิมโฮเทป ผู้เป็นแพทย์และสถาปนิก เป็นผู้สร้างปิรามิดซัคคาราขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ฝังพระศพของพระองค์ปิรามิดซัคคารา ประกอบด้วยมาสตาบา 6 หลังซ้อนกันราชวงศ์ที่ 4: จำนวนกษัตริย์ผู้สร้างปิรามิดมีมากมาย ที่มีชื่อเสียง เช่น สเนฟรู (ปิรามิดดาห์ชูร์และแมดูม) เคออป, เคเฟรน, ไมเซรินุส (ปิรามิดกิเซ่ ทางตะวันตกของเมืองไคโร) ราชวงศ์ที่ 5: ศาสนาประจำชาติ คือการนับถือเทพเจ้าเร (เรแห่งเมืองเฮลิโอโปลิส) เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ มีการสร้างวิหารให้เทพเจ้าองค์นี้และสร้างเสาหินสูงราชวงศ์ที่ 6: ฟาห์โรอ่อนอำนาจทำให้ขุนนางมีอำนาจมากขึ้น 2190 - 2052 เป็นระยะเวลาที่ต่อระหว่างสองสมัย(ราชวงศ์ที่ 7 ถึงที่ 10 เรียกสมัยเฮราเคลโอโปลิส) รัฐ ตำแหน่งฟาห์โร (บ้านใหญ่) เป็นตำแหน่งสืบทอดฟาห์โร มีอำนาจสูงสุด เช่น ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชของไทยเรามักเห็นอยู่ในรูปของเทพเจ้า-เหยี่ยวโฮรุส (เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่) นับจากราชวงศ์ที่ 4 เป็นต้นมา ฟาห์โร เปรียบเสมือนบุตรของเทพเจ้าเร หรือเทพเจ้า-พระอาทิตย์ การบริหารส่วนกลาง ข้าราชการหรือสคริบอยู่ใต้คำบังคับบัญชาของรัฐมนตรี ล้วนมาจากครอบครัวชนชั้นสูง ภาษีจ่ายเป็นข้าวสาลีและสัตว์ใช้งาน เช่น วัว ประชาชนทุกคนมีสิทธิในศาล มีสัมพันธไมตรีกับประเทศซีเรียและพุนท์(โซมาเลีย) ทำสงครามกับประเทศลิเบียและชนเผ่าต่างๆในดินแดนปาเลสไตน์ การศาสนา เริ่มแรกนับถือสิ่งศักด์สิทธิ์มากมาย ซึ่งมีอยู่ในรูปร่างและหัวสัตว์ สมัยประวัติศาสตร์ คนนับถือพระอาทิตย์มาก มีการสร้างวิหารที่สำคัญหลายแห่ง เช่น วิหารของเทพเจ้าอาตอน-เรที่เฮลิโอโปลิส วิหารของเทพเจ้าพทาห์ที่เมมฟิส วิหารของเทพเจ้าโธทที่เฮอร์โมโปลิสเทพเจ้าโอซิริสที่เคยเป็นเทพเจ้าแห่งพืชพันธุ์ไม้ กลายมาเป็นเทพเจ้าของคนตาย คนอียิปต์เชื่อเรื่องเวรกรรม คนตายไปแล้วจะได้รับกรรมที่ทำไว้ และเชื่อเรื่องชาติหน้า อักษรเฮียโรกลีฟ มีลักษณะเป็นรูปสัญลักษณ์หนึ่งเท่ากับคำหนึ่งจากนั้นเป็นกลุ่มพยัญชนะ พยัญชนะโดดๆ ไม่มีสระ ใช้ในทางศาสนาต่อจากอักษรเฮียราติค (ภาษาที่่ใช้ทั่วไป) เป็น อักษรเดโมติค(ราว 700 ปีก่อนค.ศ.) เป็นภาษาประจำวัน ปฏิทินอียิปต์มี 365 วัน (12 x 30 + 5) วันแรกของปีเริ่มกลางเดือนกรกฎาคมตรงกับที่แม่น้ำไนล์ล้นฝั่ง ปีที่มี 366 วันไม่มีปรากฎใช้ สมัยต่อมาการนับปีถือเอาเทพเจ้าซิริอุส (โซธิส) เป็นหลัก คือ หนึ่งปีโซธิสมี 365 วันและอีกเศษหนึ่งส่วนสี่ จักรวรรดิ์กลาง (ประมาณ 2052 - 1570 ปี ก่อนคริสตศักราช) หลังจากที่อียิปต์ผ่านสงครามภายในมาหลายปี พระเจ้าเมนทูโฮเทปที่่ 2 ทรงรวม อียิปตสูงและอียิปต์ต่ำเข้าด้วยกัน และทรงย้ายเมืองหลวงจากเมมฟิสไปที่ธีบส์ 1991 - 1786 ตรงกับราชวงศ์ที่ 12 อำนาจการปกครองมารวมอยู่ที่เมืองหลวงอีก เชื้อพระวงศ์ตามเมืองต่างๆหมดอำนาจ มีการก่อสร้างวัดขนาดใหญ่หลายหลังที่คาร์นัค เมืองที่ถือว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้าองค์ใหม่ ชื่ออาโมส อียิปต์เจริญสูงสุดในสมัยของ พระเจ้าเสโซสทริสที่ 3 (1878-1841 ปี ก่อนคริสตศักราช) อียิปต์มีอิทธิพลถึงนูเบีย (ซูดาน) ทางตอนกลางเพราะที่นี่มีเหมืองทองคำ มีการสร้างทางติดต่อการค้าไปทะเลแดง ซีนาย และพุนท์ (โซมาเลีย) เกาะครีตและเมืองโบลส (ในเลบานอน) รัชกาลพระเจ้าอัมเมเนแมสที่ 3 จัดการใช้พื้นที่แถวทะเลสาบมัวริส (ฟายุม) ให้เป็นประโยชน์ สร้างปิรามิดและวัดฮา อูอาราสำหรับคนตาย (Labyrinthe) งานประติมากรรมมีการทำรูปพระเจ้าเสโซสทริสที่ 3 และพระเจ้าเมเนแมสที่ 3 ตอนวัยชรา การทำรูปสฟิงซ์มีหน้าเป็นกษัตริย์ กำเนิดประติมากรรมแบบใหม่ คือ รูปคนท่ายกเข่า สวมเสื้อผ้ายาวจดเท้า ด้านวรรณคดีมีการแต่ง \"คำสอนของพระเจ้าอัมเมเนแมสที่ 1\" และ \"ประวัติศาสตร์ซินูเฮ\" 1778 - ประมาณ 1610 ปี ก่อนคริสตศักราช เป็นช่วงคั่นระหว่างสองสมัย (ราชวงศ์ที่ 13-14) สงครามภายในทำให้มีศัตรูจากภายนอกรุกราน การรุกรานของพวกฮิกโซส ประมาณ 1650 ปี ก่อนคริสตศักราช พวกฮิกโซส มาจากชนเผ่าฮูไรท์และเซมิติก (ทางเอเซีย) การรุกรานเป็นผลมาจากการอพยพของพวกอินโด-ยุโรเปี้ยน ราวปี 2,000 ก่อนคริสตศักราช พวกฮิกโซสมีอำนาจเหนือดินแดนอียิปต์ตอนบนพวกเขาเป็นคนชั้นสูงและถิ่นที่เขาอยู่ที่อาวาริส (ทางเดลต้าตะวันออก) ถือว่าเจริญมากของอียิปต์ เนื่องจากเทคนิคอารยธรรมที่เหนือว่าตนเข้าไว้ด้วย จักรวรรดิใหม่ (1570 - 715 ปี ก่อนคริสตศักราช) พระเจ้าอโมซิสทรงขับไล่พวกฮิกโซสออกจากอาวาริสไปจนถึงดินแดนปาเลสไตน์แล้วทรงตั้งจักรวรรดิใหม่ (ราชวงศ์ที่ 18) กษัตริย์ที่สืบราชสมบัติต่อมา เช่น พระเจ้าอาเมโนฟิสที่ 1 และ ธุทโมซิสที่ 1 ทรงทำให้อียิปต์มีอำนาจมากมีการยกทัพไปเอเซีย(แถวแม่น้ำยูเฟรติส) และนููเบีย สมัยที่อียิปต์เจริญสูงสุดคือสมัยพระนางฮัทเชบสุท พระนางฮัทเชปสุท (1501-1480) ทรงดำเนินนโยบายแบบสันติ สัมพันธไมตรีกับประเทศพุนท์ มีการก่อสร้างมากมายที่สำคัญ คือวัดที่แดร์ เอล-บาห์รี ที่ก่อสร้างภายใต้การควบคุมของรัฐมนตรีคนโปรดของพระนาง ชื่อ เซอเนนมุท เมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ พระสวามีขึ้นครองราชต่อ 1480-1488 พระเจ้าธุทโมซิสที่ 3 เป็นระยะเวลาที่ประเทศอียิปต์มีอาณาเขตกว้างไกลถึงแม่น้ำยูเฟรติส (ในอิรัก) 1480 พระองค์ทรงรบชนะซีเรีย ปาเลสไตน์และเฟนีเซีย ด้วยกองทัพทหารรับจ้างและกองทัพรถม้า อาณาจักรมิตานี (ปัจจุบัน คือ อิรักตอนเหนือ) กลายมาเป็นประเทศเพื่อนบ้าน กษัตริย์องค์ต่อๆมาล้วนประสบความสำเร็จในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศทั้งสิ้น 1413-1377 อาเมโนฟิสที่ 3 มีมเหสีมาจากบุคคลธรรมดาถือเป็นสมัยที่รุ่งเรืองมากทรงมีนโยบายผูกสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศด้วยการอภิเษกสมรส เป็นสมัยที่อียิปต์ต้อนรับทูตจากต่างประเทศมาก และมีการค้าขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน กับอาณาจักรมิตานี บาบิโลเนีย ครีต อัสซีเรีย อาณาจักรฮิตไทท์ และหมู่เกาะในทะเลเอเจียน (แผ่นดินเหนียวที่พบที่เมืองอามาร์นา จารึกเป็นภาษาอัคคาเดียน ซึ่งเป็นภาษาท่ี่ใช้ในทางการทูตสมัยนั้น) 1377-1358 อาเมโนฟิสที่ 4 ทรงมีมเหสีที่รู้จักกันดี คือ พระนางเนเฟอร์ติติ กษัตริย์พระองค์นี้ทรงเป็นผู้นำการนับถืออาตอน หรือ การนับถือดวงอาทิตย์เป็นพระเจ้าองค์เดียวให้แก่อียิปต์ ทรงย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อาเคท-อาตอน (เอล-อามาร์นา) ทรงเปลี่ยนพระนามของพระองค์ใหม่เป็น อาเคนาตอน พระองค์ไม่สนพระทัยในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ดังนั้่นประเทศอียิปต์จึงค่่อยๆ สูญเสียดินแดนในเอเซีย เมื่อทรงสิ่้นพระชนม์ชนชั้น นักบวชถือโอกาสนำประเทศกลับมาใช้ระบบเดิม พระราชบุตรเขยทั้งหลายพร้อมใจกันย้ายเมืองหลวงกลับมาอยู่ที่ธีบส์ตามเดิม หนึ่งในราชบุตรเขยมีตุตอนคามอน ท่ี่นักโบราณคดีพบหลุมฝังศพเต็มไปด้วยของมีค่าเมื่อ ค.ศ.1922 โฮเรมเฮบ นายทหารของอาเคนาตอนขึ้นครองราชย์ ทำสงครามชนะพวกฮิทไทท์ในซีเรียและจัดระเบียบการปกครองใหม่ให้เข้มงวดกว่าเดิม ทรงทะนุบำรุงศาสนานำพิธีนับถือพระเจ้าแบบเก่ามาใช้ปนกับวิธีของเอล-อามาร์นา 1345 - 1200 ราชวงศ์ที่19 พระเจ้าเซติที่ 1 และพระเจ้ารามเสสที่ 2 ทรงชนะพวกฮิทไทท์และมีอำนาจเหนือซีเรียอีกประมาณ 1275 ปี ก่อนคริสตศักราช เกิดสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างพระเจ้ารามเสสที่ 2 กับฮาทตูซิลที่ 3 กษัตริย์ของพวกฮิทไทท์ ซีเรียสามารถอยู่อย่างสงบอียิปต์ตั้งเมืองหลวงใหม่ที่เดลต้า ชื่อ อาวาริส แปลว่าเมืองของรามเสส 1234 - ประมาณ 1220 พระเจ้าเมเนปทาห์ยกกองทัพไปทำสงครามกับปาเลสไตน์ (ปรากฎชื่ออิสราเอลเป็นครั้งแรกในจารึก) และได้ต่อสู้กับชนชาวทะเล(มีพวกกรีกและฟีลิสติน แถวกาซาปัจจุบัน) แต่มีสัมพันธไมตรีกับลิเบีย 1197-1165 พระเจ้ารามเสสที่ 3 ทรงต่อสู้กับชนชาวทะเลและลิเบียที่มารุกรานแต่ถูกพระองค์ทรงขับไล่ออกไปทรงสร้่างคุกไว้ที่เดลต้า กษัตริย์ต่อจากพระองค์ทรงให้วัดเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิิจ ศิลปกรรม มีการสร้างวัดขนาดใหญ่ เช่น วัดพระเจ้าอามอนที่คาร์นัค ลุกซอร์ เมดิเนท์-ฮาบู ศิลปกรรมที่่่่เมืองอามาร์นา (เศียรของอาเคนาตอนและเนเฟอร์ติติ รูปประติมากรรมของครอบครัว) ในรัชกาลของพระเจ้ารามเสส นิยมสร้างห้องขนาดใหญ่ที่คาร์นัค สร้างวัดที่เจาะเข้าไปในหิน ผนังเต็มไปด้วยภาพวาดแบบที่อาบู ซิมเบล ภายนอกมีรูปสลักขนาดมหึมาและนิยมสร้างวัดสำหรับเป็นที่ไว้ศพอย่างเช่นที่เมดิเนท์-ฮาบูหลังจากที่สู้รบกับพวกพระอามอนที่ธีบส์และกับนายทหารจ้างของลิเบียแล้ว 950 ปีก่อนค.ศ. พระเจ้าเชช องค์ที่ 1 นายทหารจ้างลิเบียขยายอาณาเขตออกไปรอบๆบูบาสติส พวกพระส่วนหนึ่งจึงอพยพไปอยู่นูเบีย ที่ซึ่งพระองค์ต่อๆมา สร้างรัฐที่ปกครองโดยพระขึ้นมา มีเมืองนาปาตาเป็นเมืองหลวง (ราว 750 ปี ก่อนคริสตศักราช) ประมาณ 920 ปี ก่อนคริสตศักราช กองทัพของพระเจ้าเชชองค์ที่ 1 ยกทัพไปตีปาเลสไตน์และทำลายเมืองเยรูซาเล็ม สมัยอียิปต์ต่ำ (715-332 ปีก่อนค.ศ.)715-663 เอธิโอเปียมีอำนาจเหนืออียิปต์ แต่ไม่นานก็ถูกอัสซีเรียรุกรานจนสูญเสียอำนาจนี้ไป พระเจ้าอัสซาราดดอนยกทัพมาถึงเมืองธีบส์ปี 671 ก่อนค.ศ. แต่พวกเอธิโอเปียขับไล่ออกไปได้662 พระเจ้าอัสสูร์บานิปาลได้รับชัยชนะเหนืออียิปต์ อียิปต์กลายเป็นเมืองหนึ่งของอัสซีเรีย ผู้ครองโนม (จังหวัด) เป็นเสมือนเจ้าครองเมืองของอัสซีเรียหนึ่ง ในจำนวนนี้มี พระเจ้าพซามเมติกที่ 1 (663-609) เป็นผู้ปลดปล่อยอียิปต์ให้เป็นอิสระ และให้พวกพระอามอนเป็นทหารจ้างลิเบียก่อตั้งหน่วยทหารจ้างไอโอเนียนที่เดลต้าและตั้งสถานีการค้าไอโอเนียน (โนเครติส)569-525 พระเจ้าอามาซิส เป็นรัชกาลที่อียิปต์รุ่งเรืองขึ้นอีกเป็นครั้งสุดท้ายเพราะสามารถควบคุมสถานการณ์ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกได้และมีสัมพันธไมตรีกับเกาะต่างๆ ของกรีกและแม้แต่อาณานิคมกรีก อียิปต์ผูกไมตรีกับพระเจ้าเครซุสแห่งลิเดียและกับพระเจ้าโปลีคราทแห่งซาโมสเพื่อต่อสู้กับพวกเปอร์เซีย525 พระเจ้าพซามเมติกที่ 3 พระโอรสของพระองค์ถูกพระเจ้าคอมบิสแห่งเปอร์เซียฆ่าตายในการรบที่เปลุส อียิปต์กลายเป็นเมืองหนึ่งของเปอร์เซีย332 พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชชนะต่ออียิปต์ ตั้งแต่ปี 304 ก่อนคริสตศักราชเป็นต้นมา เหล่ากษัตริย์ปโตเลมีของกรีกเฮเลนิสติกมาครองอียิปต์ 30 ปี ก่อนคริสตศักราชโรมันมาครองอียิปต์(Http://www.learners.in.th/blog/Channarong22/98869)